วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2561

10.นิวคาสเซิลยูไนเตค็ด

สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด
Club logo
ชื่อเต็มสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด
ฉายาเดอะแม็กพาย, เดอะทูน
สาลิกาดง (ภาษาไทย)
ก่อตั้งค.ศ. 1892
สนามเซนต์เจมส์พาร์ก[1]
ความจุ52,387 คน
เจ้าของไมค์ แอชลีย์
ประธานลี ชาร์นลีย์
ผู้จัดการราฟาเอล เบนีเตซ
ลีกพรีเมียร์ลีก
2016–17แชมเปียนชิป, อันดับที่ 1 (เลื่อนชั้น)
เว็บไซต์เว็บไซต์สโมสร
สีชุดทีมเยือน
สีชุดที่สาม
 ฤดูกาลปัจจุบัน
สโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลยูไนเต็ด (อังกฤษNewcastle United Football Club; ตัวย่อ: NUFC) เป็นทีมฟุตบอลอาชีพทีมหนึ่งในฟุตบอลลีกอังกฤษ ตั้งอยู่ที่เมืองนิวคาสเซิลอะพอนไทน์ มีชื่อเล่นของทีมว่า "แม็กพายส์" ("สาลิกาดง" หรือ "กางเขนเหล็ก" ในภาษาไทย) แฟนของทีมนิวคาสเซิลยูไนเต็ด จะมีชื่อเรียกว่า "ทูนอาร์มี" ซึ่งคำว่า "ทูน" นั้นเป็นภาษาแซกซัน คือคำว่า "ทาวน์" ที่แปลว่า "เมือง" [2]
นิวคาสเซิลยูไนเต็ดถือว่ามีคู่แข่งในแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือด้วยกัน คือ ซันเดอร์แลนด์ และ มิดเดิลส์เบรอ
ในฤดูกาล 2015–16 นิวคาสเซิลยูไนเต็ดต้องตกชั้นลงไปเล่นในเดอะแชมเปียนชิป หลังจากจบการเล่นนัดที่ 37 ของฤดูกาล เนื่องจากมีเพียง 34 คะแนน และอยู่ในอันดับ 18 ของตารางคะแนน ซึ่งไม่สามารถไล่ตามทันทีมที่อยู่ในอันดับ 17 คือ ซันเดอร์แลนด์ ที่มี 38 คะแนน ได้ทันแล้ว เนื่องจากเหลือการแข่งขันอีกเพียงนัดเดียว [3]
แต่เพียงฤดูกาลเดียว นิวคาสเซิลยูไนเต็ดก็ได้เลื่อนชั้นกลับขึ้นไปเล่นในพรีเมียร์ลีก โดยหลังจากชนะเปรสตันนอร์ทเอนด์ไป 4–1 และมีคะแนนทิ้งห่างจากทีมอันดับ 3 คือ เรดิงถึง 9 คะแนน และตามหลังไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียน 1 คะแนน และเมื่อจบฤดูกาล นิวคาสเซิลยูไนเต็ดได้แชมป์ โดยมี 94 คะแนน มากกว่าไบรตันแอนด์โฮฟอัลเบียนที่ได้เลื่อนชั้นไปก่อนแล้ว 1 คะแนน[4]

ประวัติสโมสร[แก้]

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1881 ทีมคริกเก็ตสแตนลีย์ได้ตัดสินใจตั้งทีมฟุตบอลขึ้น เพื่อลงเล่นในช่วงที่ฤดูกาลแข่งขันคริกเก็ตปิดตัวลงในฤดูหนาว พวกเขาชนะเกมแรกที่ลงแข่งขันด้วยสกอร์ 5-0 โดยมีคู่แข่งเป็นทีมเอลสวิกเลเธอร์เวิร์คส์ชุดสำรอง หนึ่งปีต่อมา ทีมก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์
ขณะเดียวกัน ทีมคริกเก็ตอีกทีมหนึ่งในย่านเดียวกันก็ได้เริ่มสนใจที่จะตั้งทีมฟุตบอล จนกระทั่งมีการก่อตั้งสโมสรฟุตบอลนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ขึ้น ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1882 โดยในช่วงแรกนั้น พวกเขาใช้สนามคริกเก็ตเดิมเป็นสนามเหย้า ก่อนที่จะย้ายไปลงเตะในเซนต์เจมส์พาร์ก
หลังจากนั้น ได้มีการจัดตั้งฟุตบอลลีกท้องถิ่นขึ้นในปี ค.ศ. 1889 การที่มีลีกอาชีพในบริเวณใกล้เคียงให้ลงเตะ ประกอบกับความสนใจในถ้วยเอฟเอคัพ ทำให้นิวคาสเซิลอีสต์เอนด์เปลี่ยนจากทีมสมัครเล่นมาเป็นทีมอาชีพในปีเดียวกันนั้นเอง แต่ทว่าทางฝั่งนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์กลับล้มเหลวที่จะตามรอยทีมเพื่อนบ้านสู่สถานะทีมฟุตบอลอาชีพ จนกระทั่งในช่วงต้นปี ค.ศ. 1892 ผู้บริหารของนิวคาสเซิลเวสต์เอนด์ได้ตัดสินใจที่จะขอเข้าควบกิจการกับนิวคาสเซิลอีสต์เอนด์ เพื่อมิให้ทีมต้องยุบตัวลงโดยสิ้นเชิง
การควบกิจการเป็นไปด้วยดี ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1892 ชื่อ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ก็ถูกเลือกให้เป็นชื่อใหม่ของทีม
นิวคาสเซิลสามารถคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศมาครองได้ถึงสามสมัยในช่วงทศวรรษ 1900s และยังเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพถึง 5 ครั้งใน 7 ฤดูกาล แต่สามารถเป็นแชมป์ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้นในปี ค.ศ. 1910 หลังจากเอาชนะบาร์นสลีย์ไปได้ในการเตะนัดรีเพลย์ที่กูดิสันพาร์ก
หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง พวกเขาคว้าแชมป์เอฟเอคัพได้อีกสมัยโดยการเอาชนะแอสตันวิลลาในรอบชิงชนะเลิศที่สนามเวมบลีย์ นอกจากนั้น นิวคาสเซิลยังเป็นแชมป์ลีกได้อีกหนึ่งสมัยในปี ค.ศ. 1927 อีกด้วย
ในช่วงทศวรรษ 1950s นิวคาสเซิลเป็นแชมป์เอฟเอคัพถึง 3 สมัยในช่วงเวลา 5 ปี โดยเอาชนะแบล็กพูล 2-0 ในปี ค.ศ. 1951 ชนะอาร์เซนอล 1-0 ในปี ค.ศ. 1952 และชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี 3-1 ในปี ค.ศ. 1955โดยทีมนิวคาสเซิลในยุคนั้น มีผู้เล่นชื่อดังอยู่หลายคนด้วยกัน เช่น แจคกี มิลเบิร์นบ็อบบี มิทเชลล์ และ สแตน เซมัวร์
หลังจากตกชั้นลงไปเล่นในดิวิชันสองอยู่ชั่วขณะ นิวคาสเซิลที่นำโดยผู้จัดการทีม โจ ฮาร์วีย์ ก็ได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุดในปี ค.ศ. 1965 แต่ทว่าฟอร์มของพวกเขาหลังจากนั้นไม่สม่ำเสมอนัก
ทีมของฮาร์วีย์สามารถทำอันดับผ่านเข้าไปเล่นฟุตบอลถ้วยยุโรปครั้งแรกในปี ค.ศ. 1968 ก่อนจะคว้าแชมป์ถ้วยอินเตอร์-ซิตีส์ แฟร์ส คัพ (หรือถ้วยยูฟ่าคัพในปัจจุบัน) ไปครองอย่างเหนือความคาดหมายในปีถัดมา โดยสามารถเอาชนะทีมใหญ่ในยุโรปของยุคนั้นไปได้หลายราย ไม่ว่าจะเป็นสปอร์ติงลิสบอนจากโปรตุเกสไฟเยอโนร์ดจากเนเธอร์แลนด์ และเรอัลซาราโกซาจากสเปน และปิดท้ายด้วยการคว่ำทีมอุจเพสท์จากฮังการีในรอบชิงชนะเลิศ
นับตั้งแต่ก่อตั้งทีมมา นิวคาสเซิลมักจะมอบเสื้อหมายเลข 9 ให้แก่ผู้เล่นกองหน้าชื่อดังประจำทีม โดยประเพณีนี้ยังคงตกทอดต่อมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับในช่วงเวลานั้น ผู้เล่นที่ได้ใส่เสื้อหมายเลข 9 มีหลายคนด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น วิน เดวีส์ไบรอัน ร็อบสันบ็อบบี มอนเคอร์ หรือแฟรงค์ คลาร์ก
หลังจากประสบความสำเร็จในฟุตบอลสโมสรยุโรป ฮาร์วีย์ก็ได้ดึงตัวผู้เล่นเกมรุกชื่อดังมากมายเข้ามาร่วมทีม นับตั้งแต่ จิมมี สมิธโทนี กรีน และเทอร์รี ฮิบบิทท์ ไปจนถึงยอดศูนย์หน้าอย่าง มัลคอล์ม แมคโดแนลด์ เจ้าของฉายา 'ซูเปอร์แมค' ผู้เป็นหนึ่งในตำนานของสโมสร แมคโดแนลด์พานิวคาสเซิลเข้าชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพและลีกคัพกับลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์ซิตีในปี ค.ศ. 1974 และ ค.ศ. 1976 ตามลำดับ แต่พลพรรคแม็กพายส์กลับล้มเหลวในรอบชิงทั้งสองครั้ง
ในช่วงต้นทศวรรษ 1980s นิวคาสเซิลอยู่ในช่วงตกต่ำ โดยได้ตกชั้นลงไปเล่นอยู่ในดิวิชัน 2 อยู่เป็นเวลาหลายปี ก่อนที่ผู้จัดการทีมอาร์เธอร์ ค็อกซ์จะสร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยมีเควิน คีแกน อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษเป็นแกนหลัก จนกระทั่งได้เลื่อนชั้นกลับสู่ลีกสูงสุด
หลังจากนั้น นิวคาสเซิลเล่นอยู่ในดิวิชัน 1 จนกระทั่งพวกเขาตกชั้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1989
ในปี ค.ศ. 1992 เควิน คีแกน ได้กลับคืนสู่นิวคาสเซิลอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีม เมื่อเขาตอบรับสัญญาระยะสั้น เข้ามาคุมทีมแทนออสซี อาร์ดิเลส ตัวคีแกนเองนั้นกล่าวว่า งานคุมทีมนิวคาสเซิลเป็นงานเดียวเท่านั้น ที่สามารถทำให้เขาหวนคืนสู่วงการฟุตบอลได้ ในขณะนั้น นิวคาสเซิลกำลังดิ้นรนหนีการตกชั้นอยู่ในดิวิชัน 2 ถึงแม้ว่าจะเพิ่งถูกซื้อกิจการโดยเซอร์ จอห์น ฮอลล์ไปไม่นานก็ตาม และในฤดูกาลนั้น นิวคาสเซิลสามารถหนีรอดพ้นการตกชั้นไปได้ โดยเปิดบ้านเอาชนะปอร์ทสมัธก่อนจะบุกไปเอาชนะเลสเตอร์ ซิตีในสองเกมสุดท้ายของฤดูกาล
ในฤดูกาลถัดมา (1992-93) ฟอร์มของนิวคาสเซิลเปลี่ยนแปลงไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พวกเขาเล่นฟุตบอลเกมรุกแบบตื่นตาตื่นใจ จนกระทั่งคว้าชัยชนะในเกมลีก 11 นัดแรก ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งแชมป์ดิวิชัน 1 และเลื่อนชั้นขึ้นสู่พรีเมียร์ลีกด้วยชัยชนะเหนือกริมสบี ทาวน์ 2-0
นิวคาสเซิลประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดภายใต้การคุมทีมของคีแกน พวกเขาจบฤดูกาล 1993-94 ที่อันดับ 3 และได้รับการตั้งฉายาโดยสื่อมวลชนอังกฤษว่าเป็น "The Entertainers"
ในปีถัดมา นิวคาสเซิลจบฤดูกาลที่อันดับ 6 หลังจากที่ช็อกแฟนบอลด้วยการขายกองหน้าจอมถล่มประตู แอนดี โคล ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดด้วยค่าตัว 6,000,000 ปอนด์ บวกกับคีธ กิลเลสพี ปีกขวาดาวรุ่งชาวไอริช
ในปี 1995-96 นิวคาสเซิลเสริมทีมครั้งใหญ่ โดยดึงตัวผู้เล่นชื่อดัง เช่น ดาวิด ชิโนลา และ เลส เฟอร์ดินานด์ มาร่วมทีม พวกเขาเกือบที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แต่ก็ทำได้เพียงตำแหน่งรองแชมป์ ทั้งที่ในช่วงคริสต์มาส พวกเขาทิ้งห่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดถึง 12 คะแนน และเกมที่นิวคาสเซิลพ่ายให้กับลิเวอร์พูลไป 3-4 ที่สนามแอนฟิลด์ในฤดูกาลนี้ ได้รับการโหวตให้เป็นเกมยอดเยี่ยมตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกเลยทีเดียว
นิวคาสเซิลเข้าป้ายเป็นอันดับที่ 2 อีกครั้งในปีถัดมา แม้ว่าจะทำการเซ็นสัญญากองหน้าทีมชาติอังกฤษ แอลัน เชียเรอร์ มาร่วมทีมด้วยค่าตัวสถิติโลก 15,000,000 ปอนด์ สำหรับฤดูกาล 1996-97 นี้ เป็นที่จดจำของแฟนบอลหลายคน เนื่องจากนิวคาสเซิลได้ถล่มเอาชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปด้วยสกอร์ถึง 5-0 เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 1996
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1997 คีแกนลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม และถูกแทนที่โดยเคนนี ดัลกลิช ซึ่งได้รับเลือกเพื่อมาช่วยแก้ปัญหาเกมรับของทีม ในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังของปี 1997-98 ดัลกลิชพานิวคาสเซิลเข้าไปเล่นฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และพ่ายต่ออาร์เซนอลในรอบชิงชนะเลิศถ้วยเอฟเอคัพไป 0-2 หลังจากนั้น แฟนบอลก็เริ่มที่จะไม่พอใจกับสไตล์การทำทีมที่เน้นเกมรับของดัลกลิช เมื่อบวกกับผลงานที่ตกต่ำลงของทีม เป็นผลให้ดัลกลิชถูกปลดออกจากตำแหน่งในช่วงต้นฤดูกาล 1998-99
รืด คึลลิตก้าวเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมต่อจากดัลกลิช และพาทีมเข้าชิงชนะเลิศเอฟเอคัพอีกครั้ง ก่อนจะพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดไปในที่สุด แต่คึลลิตได้ทำการซื้อตัวผู้เล่นราคาแพงหลายคนที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในพรีเมียร์ลีก เช่นมาร์เซลิโน กองหลังชาวสเปน และซิลวิโอ มาริช มิดฟิลด์โครเอเชีย นอกจากนี้คึลลิตยังมีปากเสียงกับผู้เล่นคนสำคัญหลายคนในทีม ทั้งหมดนี้ประกอบกับการเริ่มต้นฤดูกาล 1999-2000 ได้อย่างเลวร้าย ทำให้คึลลิตถูกกดดันให้ลาออกไป
นิวคาสเซิลตัดสินใจแต่งตั้งเซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน อดีตผู้จัดการทีมชาติอังกฤษเข้ามากู้สถานการณ์ของทีม ซึ่งในขณะนั้นอยู่ในโซนตกชั้น เกมเหย้าเกมแรกของนิวคาสเซิลภายใต้ร็อบสันจบลงด้วยชัยชนะ 8-0 เหนือเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ พร้อมทั้ง 5 ประตูจากกัปตันทีมแอลัน เชียเรอร์ ในช่วงที่ร็อบสันคุมทีม นิวคาสเซิลได้สร้างทีมขึ้นมาใหม่โดยอาศัยนักเตะดาวรุ่งเป็นแกนหลัก ผู้เล่นอย่างคีรอน ดายเออร์เคร็ก เบลลามี่ และโลรองต์ โรแบร์ ทำให้นิวคาสเซิลกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวของพรีเมียร์ลีกอีกครั้ง ฟุตบอลเกมรุกอันน่าตื่นเต้นของพวกเขาทำให้นิวคาสเซิลทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2001-02 จนได้กลับเข้าไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และได้เข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของถ้วยเอฟเอคัพและลีกคัพ
ในฤดูกาล 2002-03 นิวคาสเซิลได้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นทีมแรกในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกที่แพ้ในรอบแบ่งกลุ่ม 3 เกมแรกแล้วยังสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ ก่อนจะตกรอบแบ่งกลุ่มรอบสอง หลังจากถูกจับฉลากแบ่งสายไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับทีมยักษ์ใหญ่อย่างบาร์เซโลนา และ อินเตอร์ มิลาน ส่วนผลงานในพรีเมียร์ลีกนั้น นิวคาสเซิลก็ยังคงทำได้ดีอย่างสม่ำเสมอ จนจบฤดูกาลในอันดับที่ 3
ต่อมาในฤดูกาล 2003-04 นิวคาสเซิลตกรอบคัดเลือกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกหลังพ่ายในการดวลจุดโทษให้กับพาร์ทิซาน เบลเกรด จนต้องตกชั้นลงไปเล่นในถ้วยยูฟ่าคัพแทน และจบฤดูกาลในอันดับที่ 5 รวมทั้งเข้าถึงรอบรองชนะเลิศถ้วยยูฟ่าคัพ แต่หลังจากนั้นทางสโมสรได้ทำการปลด เซอร์ บ็อบบี ร็อบสัน ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2004 และได้แต่งตั้งแกรม ซูเนส ขึ้นเป็นผู้จัดการทีมแทน
ในฤดูกาล 2004-2005 แกรม ซูเนส ได้เซ็นสัญญาไมเคิล โอเวน มาสู่ทีมโดยมีค่าตัวเป็นสถิติใหม่ของสโมสร อย่างไรก็ตามในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 เขาก็ถูกปลดหลังจากที่ทีมเริ่มฤดูกาล 2005-2006 ได้อย่างย่ำแย่ เกล็น โรเดอร์ ถูกเรียกเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมชั่วคราวและเขาก็พาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 สโมสรจึงแต่งตั้งเขาเป็นผู้จัดการทีม ขณะที่แอลัน เชียเรอร์ก็ได้ประกาศเลิกเล่นฟุตบอลหลังจากจบฤดูกาลนี้ด้วย ในช่วงปิดฤดูกาล เกล็น โรเดอร์ ได้พาทีมคว้าแชมป์ยูฟ่าอินเตอร์โตโตคัพ พร้อมกับได้สิทธ์ไปเตะในถ้วยยูฟ่าคัพในฤดูกาล 2006-2007 อีกด้วย และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2006-2007 นิวคาสเซิลจบฤดูกาลในอันดับที่ 7 และ เกล็น โรเดอร์ ลาออกจากผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้แต่งตั้งแซม อัลลาร์ไดซ์ เป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 15 พฤษภาคม ค.ศ. 2007 และในวันที่ 7 มิถุนายน ค.ศ. 2007 บอร์ดบริหารสโมสรก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเมื่อ เฟรดดี้ เชฟเฟริด ผู้บริหารสโมสรในขณะนั้นได้ตัดสินใจขายสโมสรให้แก่ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของธุรกิจขายอุปกรณ์กีฬา
ในฤดูกาล 2007-2008 แซม อัลลาร์ไดซ์ ได้เซ็นสัญญานักแตะมาสู่ทีมหลายคนเช่น เฌเรมี่, แอลัน สมิธ จาก แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 6,000,000 ปอนด์, ดาวิด โรเซนนาลเคลาดิโอ คาซาปาโจอี บาร์ตัน เป็นต้น แต่นักเตะที่ซื้อมากับทำผลงานได้ย่ำแย่และทำให้ทีมฟอร์มตกจนไปอยู่ท้ายตาราง รวมถึงในเกมส์ในบ้านที่แพ้ลิเวอร์พูล 3-0 ชนิดว่าไม่มีลุ้นทำให้มีเสียงโห่จากแฟนนิวคาสเซิ่ลจำนวนมากในเซนต์เจมส์พาร์กก่อนที่แซมจะโดนปลดออกในวันที่ 9 มกราคม ค.ศ. 2008 และแทนที่ด้วย เควิน คีแกน ที่กลับมารับตำแหน่งอีกครั้งโดยเซ็นสัญญา 3 ปี ทำให้สร้างขวัญกำลังใจให้กับนักเตะและแฟนบอลจนผลงานดีขึ้นอย่างต่อเนื่องและจบฤดูกาลด้วยอันดับ 12
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2008-2009 ได้เกิดวิกฤติอีกครั้งเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่าง เควิน คีแกน กับบอร์ดบริหารเรื่องการแทรกแทรงการซื้อขายนักเตะ และในวันที่ 4 กันยายน ค.ศ. 2008 เควิน คีแกน ได้ลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีม สโมสรจึงได้เซ็นสัญญาให้ โจ คินเนียร์ อดีตผู้จัดการทีมวิมเบิลดันมาเป็นผู้จัดการทีมในวันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2008 แต่แล้วในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2009 โจ คินเนียร์ ต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยโรคหัวใจ ทำให้สโมสรต้องเรียกแอลัน เชียเรอร์ อดีตศูนย์หน้าของทีมเข้ามารับหน้าที่แทนในขณะที่เหลือการแข่งขันอีก 8 นัด ในนัดสุดท้ายของฤดูกาล 2008-09 นิวคาสเซิลบุกไปแพ้แอสตันวิลลา 1-0 ที่วิลลาพาร์ก ทำให้ทีมต้องตกชั้นสู่ฟุตบอลลีกแชมเปียนชิปด้วยอันดับ 18 ของตาราง หลังจากตกชั้นได้ไม่นานแอลัน เชียเรอร์ ก็หมดสัญญาคุมทีม โดยมีคริส ฮิวจ์ตัน ทำหน้าที่รักษาการแทน หลังจากนั้นทีมต้องเสียนักเตะอย่าง ไมเคิล โอเวนมาร์ค วิดูก้าดาวิด เอ็ดการ์โอบาเฟมี มาร์ตินส์เชย์ กิฟเวนเซบาสเตียน บาสซงเดเมียน ดัฟฟ์ และ ฮาบิบ เบย์ ออกไป พร้อมทั้งมีข่าวว่า เควิน คีแกน อดีตผู้จัดการทีมและขวัญใจแฟนนิวคาสเซิ่ลได้เรียกร้องเงินชดเชยที่ได้ระบุในสัญญาคุมทีม 3 ปี ก่อนที่คีแกนจะลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากโดนแทรกแซงเรื่องการบริหาร ศาลตัดสินให้นิวคาสเซิ่ลจ่ายเงินชดเชยจำนวน 2,000,000 ปอนด์ หรือ 112,000,000 บาท โดยในเหตุการณ์ครั้งนั้นคีแกนไม่พอใจที่ถูก เดนนิส ไวส์ ผู้อำนวยการแทรกแซงเรื่องการซื้อขายนักเตะโดยคีแกนไม่พอใจที่ขายเจมส์ มิลเนอร์ กองกลางทีมชาติอังกฤษให้แอสตันวิลล่า รวมถึงการซื้อชิสโก กองหน้าชาวสเปน และอิกนาซิโอ กอนซาเลซ นักเตะชาวอุรุกวัยโดยไม่ผ่านการตัดสินใจของคีแกน พร้อมกับทางสโมสรพยายามปล่อยโจอี บาร์ตัน กองกลางที่พึ่งพ้นโทษออกจากคุกออกจากทีมโดยที่ขัดแย้งกับคีแกนซึ่งพยายามรั้งตัวไว้ ขณะเดียวกัน ไมค์ แอชลีย์ เจ้าของสโมสรได้ถูกกดดันจากแฟนบอลจึงประกาศขายทีมในราคา 100,000,000 ปอนด์ ทำให้ทีมเริ่มระส่ำระส่ายมากขึ้น แต่ในช่วงก่อนเปิดฤดูกาลใหม่ นิวคาสเซิ่ลก็สามารถคว้านักเตะเสริมทัพได้โดยเป็น แดนนี ซิมป์สัน จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ในสัญญายืมตัว ยืมมาร์ลอน แฮร์วูดมาจากแอสตันวิลล่า และเซ็นสัญญาคว้าตัว ปีเตอร์ โลเวนครานด์ กับ ฟาบริซ ป็องครัต มาแบบไร้ค่าตัว โดยผลงานของนิวคาสเซิ่ลในนัดเปิดฤดูกาล 2009-2010 สามารถบุกไปเสมอเวสต์บรอมวิชอัลเบียนได้ 1-1 เมื่อถึงวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2009 ไมค์ แอชลีย์ ก็ประกาศยุติการขายสโมสรเนื่องจากไม่สามารถตกลงราคากับผู้ที่สนใจซื้อสโมสรได้ พร้อมทั้งแต่งตั้ง คริส ฮิวจ์ตัน เป็นผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการ
ในฟุตบอลลีกแชมเปียนชิปฤดูกาล 2009-2010 นิวคาสเซิลสามารถทำผลงานได้ดีอย่างต่อเนื่องจนสามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จและได้เลื่อนชั้นกลับสู่พรีเมียร์ลีกโดยอัตโนมัติในวันที่ 5 เมษายน ค.ศ. 2010ทั้งที่ยังเหลือเกมแข่งขันอีกถึง 5 นัด
ในฤดูกาล 2010-2011 นิวคาสเซิลเริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยม พวกเขาชนะทีมที่มีชื่อเสียงอย่าง อาร์เซนอลแอสตันวิลล่า รวมถึง ซันเดอร์แลนด์ ทำให้ คริส ฮิวจ์ตัน เป็นที่ชื่นชอบของเหล่าแฟนบอลนิวคาสเซิล แต่หลังจากการพ่ายแพ้ต่อทีมเวสต์บรอมวิชอัลเบียนซึ่งถูกเลื่อนชั้นมาพร้อมกันด้วยสกอร์ 1-3 คริส ฮิวจ์ตัน ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในวันที่ 6 ธันวาคม ค.ศ. 2010 โดยมี แอลัน พาร์ดิว เข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยได้สัญญาระยะยาว 5 ปีครึ่ง ในวันที่ 31 มกราคม ค.ศ. 2011 สโมสรได้ปล่อย แอนดี แคร์โรล เด็กปั้นของสโมสรให้แก่ลิเวอร์พูล ด้วยราคาสูงถึง 35,000,000 ปอนด์ และทีมก็จบฤดูกาลด้วยอันดับ 12
ในช่วงก่อนเริ่มฤดูกาล 2011-2012 แอลัน พาร์ดิวได้เปลี่ยนแปลงทีมครั้งใหญ่โดยการขายนักเตะอย่าง เควิน โนลันโจอี บาร์ตัน, และ โคเซ เอนรีเก ซานเชซ ออกจากทีม และเรียก ทิม ครูล มาเป็นผู้รักษาประตูมือ 1 แทน สตีฟ ฮาร์เปอร์ และเซ็นสัญญานักเตะรายใหม่ ๆ เข้ามาเช่น โยฮัน กาบายดาวิเด ซานตอน, และ เดมบา บา ซึ่งทำให้เริ่มฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการไม่แพ้ใครอย่างต่อเนื่องถึง 11 เกม ก่อนจะแพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ซิตีเป็นเกมแรก และยังสามารถเอาชนะทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้อย่างน่าประทับใจ ในช่วงเดือนมกราคม สโมสรได้เซ็นสัญญานักเตะเพิ่มอีก 2 คน คือ ปาปิส ซิสเซ และ ฮาเทม เบนอาร์กฟา ทำให้ทีมสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมรวมถึงการชนะ ลิเวอร์พูล และ เชลซี ทำให้พวกเขาจบในอันดับที่ 5 ได้สิทธิ์ไปแข่งยูฟ่ายูโรปาลีกในฤดูกาลหน้า และแอลัน พาร์ดิว ยังได้รับตำแหน่งผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมอีกด้วย
ในฤดูกาล 2014-15 ทีมนิวคาสเซิลเริ่มต้นฤดูกาลได้ไม่ดีนักด้วยการที่ไม่ชนะใครเลยในเจ็ดเกมแรก เป็นเหตุให้กองเชียร์ทูนอาร์มี่ไม่พอใจและเรียกร้องให้ปลด พาร์ดิว แต่ในอีกหกเกมต่อมาพวกเขาก็ชนะรวดในทุกรายการพร้อมทะยานขึ้นอันดับที่ 5 และหลังจากที่พวกเขาหยุดสถิติของ เชลซี ที่ไม่แพ้ใครตั้งแต่เปิดฤดูกาลลงได้ อลัน พาร์ดิว ได้ขอแยกทางกับทีมเพื่อไปคุมทีม คริสตัล พาเลซ ในวันที่ 26 มกราคม 2558 ทีมจึงได้แต่งตั้งจอน คาร์เวอร์ ผู้ช่วยของพาร์ดิวขึ้นคุมทีมต่อจนจบฤดูกาล ในช่วงท้ายฤดูกาลพวกเขาต้องหนีจากการตกชั้นอีกครั้ง แต่ด้วยชัยชนะในบ้านเหนือเวสแฮม 2-0 ในเกมสุดท้าย ทำให้ทีมรอดพ้นจากการตกชั้นได้ในที่สุด 
ในวันที่ 9 มิถุนายน 2558 สโมสรได้ปลด จอน คาร์เวอร์ ออกจากตำแหน่ง และแต่งตั้ง สตีฟ แมคคลาเลน เข้าคุมทีมในฤดูกาล 2015-2016 และได้นักเตะเข้ามาเสริมทีม จอร์จินโญ่ ไวนัลดุม อเล็กซานดราร์ มิโตรวิช เซียม เดอจอง แต่ทีมก็ทำผลงานได้ไม่ดีนัก พอถึงช่วงตลาดนักเตะรอบสองในเดือนมกราคม ได้ทุ่มเงินเสริมนักเตะเพิ่มคือ อันดรอส ทาวน์เซนด์ , อองรี ไซเวต์ , จอนโจ้ เชลวี่ย์ และ เซย์ดู ดุมเบีย แต่ผลงานก็ยังไม่ดีขึ้นโดยคว้าชัยชนะได้เพียงแค่ 6 เกมจาก 28 เกมในลีก ทำให้ตกอยู่ในอันดับที่ 19 จนกระทั่งในวันที่ 11 มีนาคม 2559 ผู้บริหารสโมสรประชุมด่วนและปลดสตีฟ แมคคลาเรน ต่อมาพวกเขาแต่งตั้งราฟาเอล เบนิเตชมาคุมทีมใน 10 นัดที่เหลือเพื่อช่วยสโมสรให้รอดพ้นจากการตกชั้น  อย่างไรก็ตามราฟาเอล เบนิเตชไม่อาจช่วยให้สโมสรรอดพ้นจากการตกชั้นได้ ทำให้ต้องตกชั้นไปเล่นในเดอะแชมป์เปี้ยนชิพในฤดูกาลถัดไปและเป็นการตกชั้นครั้งที่สองในยุคของไมค์ แอชลีย์ด้วย
ในฤดูกาล 2016-2017 ทีมนิวคาสเซิลนำโดยราฟาเอล เบนิเตชเปลี่ยนแปลงทีมขนานใหญ่และสามารถคว้าแชมป์เดอะแชมป์เปี้ยนชิพมาครองได้ด้วยการมีแต้มมากกว่าไบรตัน 1 คะแนนหลังจากจบฤดูกาล ทำให้ใช้เวลาเพียงฤดูกาลเดียวก็กลับมาสู่เวทีพรีเมียลีกได้สำเร็จ